Things you need to know
- 1. “ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ พิจารณาคดีกำแพงภาษี ท่าทีไม่เป็นคุณกับทรัมป์ นัดอ่านคำพิพากษาปลายปี” เมื่อคืนจนถึงช่วงเช้าตรู่ของวันนี้ มีการพิจารณาคดีฟ้องร้องเรื่องกำแพงภาษีที่ระบุว่าประธานาธิบดีทรัมป์ใช้อำนาจเกินกว่าขอบเขตตามปกติผ่านกฎหมาย IEEPA ซึ่งหลังจากการรับฟังข้อโต้แย้งจากทั้งสองฝ่ายและพิจารณาคดีแล้ว ศาลได้ระบุว่าจะยังไม่มีการอ่านคำพิพากษาในวันนี้และจะนัดอีกทีเป็นช่วงปลายปีนี้ อย่างไรก็ตามท่าทีของผู้พิพากษาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้พิพากษาที่แต่งตั้งโดยฝั่งริพลับริกัน ไม่เป็นคุณกับทรัมป์ เนื่องจากมองว่าการกระทำของทรัมป์ที่ตั้งกำแพงภาษีนั้นคือการเก็บภาษี อันเป็นอำนาจที่ต้องผ่านรัฐสภา ด้านทรัมป์ระบุว่าหากศาลสั่งให้ยกเลิกกำแพงภาษีจริง ถือเป็นหายนะของประเทศ
- 2. “ราคาชิป DRAM และ NAND แพงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังกำลังการผลิตเริ่มไม่เพียงพอ” ราคาชิปหน่วยความจำทั้งสองประเภทซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่ๆ ในปัจจุบัน ราคาดีดขึ้นถึง 30% สาเหตุสำคัญคือโรงงานผลิตชิปทั้งสองชนิดส่วนใหญ่เริ่มหยุดรับคำสั่งซื้อ เนื่องจากเปลี่ยนสายการผลิตไปผลิตหน่วยความจำแบบ HBM (High-bandwidth Memory) ที่ใช้สำหรับการประมวลผลด้าน AI ที่กำไรดีกว่านั่นเอง ตัวอย่างเช่นแผงหน่วยความจำ DRAM DDR 5 ขนาด 32 GB ขออง Crucial (แบรนด์ของ Micron) เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2568 อยู่ที่ช่วงราคา 77.99-104.99 ดอลลาร์ต่อแผง ปัจจุบันอยู่ที่ 99.78 – 188.98 ดอลลาร์ต่อแผง เพิ่มขึ้น 27.93-79.99% (ขึ้นกับผู้ขาย) ทั้งนี้ชิป DRAM เป็นชิปหน่วยความจำชั่วคราวใช้กับแรม และ NAND เป็นชิปสำหรับหน่วยความจำถาวร ใช้พื้นจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ในเครื่อง
- 3. “หุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัว หลังตลาดมีแรงซื้อจากการปรับตัวย่อลงเมื่อวาน” เมื่อคืนนี้ดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.37% ไปอยู่ที่ 6,796.29 จุด สาเหตุสำคัญมาจากแรงซื้อหุ้นเกือบแทบทุกกลุ่มที่ปรับตัวย่อลงมาจากคืนก่อนหน้า โดยเฉพาะกลุ่มบริการการสื่อสารและเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้นมาแรง เช่น Verizon, Broadcom, Tesla, Oracle เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีการประกาศงบของ Qualcomm ซึ่งออกมาดีกว่าคาด รายได้เพิ่มขึ้น 10% ไปอยู่ที่ 1.13 หมื่นล้านดอลลาร์ กำไรต่อหุ้นคิดเป็น 3 ดอลลาร์ต่อหุ้น อย่างไรก็ตามราคาหุ้นของ Qualcomm ที่ประกาศหลังตลาดปิดกลับลดลงไปราว -2% เพราะนักลงทุนประเมินว่าการเติบโตดังกล่าวยังไม่พอ
- 4. “การเติบโตของค่าแรงในญี่ปุ่นยังคงขึ้นสูง เปิดทาง BOJ ขึ้นดอกเบี้ย” โดยค่าแรงญี่ปุ่นทั่วไปสำหรับเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 1.9% YoY และหากตัดโบนัสหรือการทำงานล่วงเวลาแล้วจะอยู่ที่ 2.2% หากวัดกันที่ตัวเงินสดจริงจะลดลงราว 1.4% ทำให้ตลาดประเมินว่า BOJ อาจขึ้นดอกเบี้ยได้ โดยการประชุมสิ้นปีนี้โอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ยอยู่ที่ราว 50% วัดจากสถานการณ์ถือครองสินทรัพย์ต่างๆ ทั้งนี้สหภาพแรงงานต่างๆ เริ่มตั้งเป้าว่าจะเจรจาขอขึ้นค่าแรงไม่ต่างจากปีที่แล้ว คือขั้นต่ำที่ 5% และเงินเดือนฐานที่ 3%
|
|