บลจ.เอ็กซ์สปริง ให้กรอบหุ้นไทย 1,730 จุด หลังเลือกตั้งมีโอกาสอัปไซด์อีก 10%
บลจ.เอ็กซ์สปริง มองกรอบดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 66 อยู่ที่ระดับ 1,730 จุด ได้ท่องเที่ยวหนุน หลังเลือกตั้งมีโอกาสอัปไซด์อีก 10% เตรียมรุกเจาะกองทุนบุคคลสถาบัน และเศรษฐี ตั้งเป้า AUM แตะ 1.5 หมื่นล้าน
เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2566 นายยศกร ฟอลเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ XSpring AM กล่าวว่า จากสถานการณ์ปัจจุบัน บริษัทกลับมาให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศ เรามองว่าระยะสั้นนี้กรอบดัชนีหุ้นไทย หรือ SET Index อยู่ที่ระดับ 1,520-1,5801 จุด ส่วนกรอบดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 66 อยู่ที่ระดับ 1,730 จุด
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทย มีปัจจัยบวกทั้งนักท่องเที่ยวกลับมาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยให้กับมาฟื้นตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีการประกาศเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 พ.ค. 66 ทำให้ตลาดหุ้นไทยขานรับกับประเด็นดังกล่าวค่อนข้างมาก โดยเราเชื่อว่าหลังจากจบการเลือกตั้ง และไม่มีประเด็นอะไรเข้ามากระทบผลเลือกตั้ง หุ้นไทยช่วง 3-6 เดือนหลังเลือกตั้งจะ Rally จะมีอัปไซด์ประมาณ 10%
"หลังจบเลือกตั้งจะนิ่งมากขึ้น ซึ่งโอกาสที่ฟันด์โฟลว์จะไหลกลับเข้ามายังตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นมากกว่าไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ ดังนั้นช่วงนี้นักลงทุนสามารถทยอยลงทุนให้หุ้นที่มีคุณภาพ"
สำหรับกลุ่มหุ้นเด่นรับอานิสงส์การกลับมาของนักท่องเที่ยวและเศรษฐกิจฟื้น เน้นหุ้นกลุ่มสายการบิน โรงแรม โรงพยาบาล บริโภค ส่วนหุ้นไทยที่เหมาะลงทุนรับเลือกตั้ง ได้แก่ หุ้นกลุ่มสื่อสาร ก่อสร้าง นิคมอุตสาหกรรม พาณิชย์
สำหรับการบริหารงานของ บลจ.เอ็กซ์สปริง นั้นบริษัทตั้งเป้าหมายสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร หรือ AUM ปีนี้มั่นใจว่ามีโอกาสเติบโตได้ถึงระดับ 1.2-1.5 หมื่นล้านบาท หรือมากกว่า 10% จากช่วงปีที่ผ่าน แตะที่จากสิ้นปี 2565 ที่เติบโตอยู่ที่ 9.3 พันล้านบาท
โดยจะเน้นการเติบโตในส่วนของกองทุนส่วนบุคคลเป็นสัดส่วนที่มากที่สุด เนื่องจากเชื่อว่าจะมีโอกาสมากกว่าที่จะเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่ง และกองทุนส่วนบุคคลของสถาบัน เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ และมหาวิทยาลัยต่างๆ
"การเติบโต AUM ปีนี้มาจากการรุกตลาดส่วนบุคลประเภทสหกรณ์ต่างๆ มากขึ้น เพราะถ้าดูกระบวนการในการออกกองทุนรวมปีนึงได้ 10-12 กอง คงเป็นจะค่อนข้างยุ่งยาก แต่ในส่วนของกองทุนส่วนบุคคล เราสามารถทำได้คล่องตัวกว่า เมื่อครบกำหนดอายุสัญญาของแต่ละที่ เราสามารถเข้าไปแข่งขันได้ และมีหลายที่เหมือนกันที่เราอยู่ในกระบวนที่จะเสนอตัวเข้าไปบริหารให้ เช่น มหาวิทยาลัยต่างๆ"
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนออกกองทุนใหม่เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง ซึ่งจะเป็นกองที่มีโครงสร้างการลงทุนที่พิเศษกว่ากองทุนรวมทั่วไป โดยอาจจะเป็น กองทุน เน้นลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด ตราสารหนี้คุณภาพดีที่เหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ลงทุน และรับความเสี่ยงได้สูงกว่าตามเกณฑ์ที่ ก.ล.ต.กำหนด เป็นต้น
นอกจากส่วนของ บลจ.แล้วบริษัทยังตั้งเป้าหมายสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำลงทุน หรือ AUA ปีนี้เติบโตแตะที่ระดับ 3-4 พันล้านบาท จากสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 300 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเริ่มปีที่ 2 หลังจากที่บริษัทเพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจแนะนำการลงทุนในช่วงเดือน ส.ค. 65 ที่ผ่านมา
โดยบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มผู้เชี่ยวชาญแนะนำการลงทุนอีก 40 คน จากเดิมมีอยู่ประมาณ 16 คน พร้อมเพิ่มผู้แนะนำลงทุนอิสระจาก 10 ราย ในปัจจุบันเป็น 50 คน รวมถึงการเพิ่มพันธมิตร บลจ.อีกประมาณ 4 บริษัท เป็น 20 บริษัท จากปัจจุบันมีอยู่แล้ว 16 แห่ง เพื่อเพิ่มข่องทางการลงทุนให้กับนักลงทุนให้หลากหลายมากขึ้น.
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์