Things you need to know
- 1. “หุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัว หลังข้อมูลเศรษฐกิจออกมาไม่แย่” เมื่อคืนนี้ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น +0.64% ไปอยู่ที่ระดับ 5,675.12 จุด หลังจากข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญคือตัวเลขยอดค้าปลีกออกมาที่ 0.2% MoM/3.1% YoY ที่แม้จะต่ำกว่าคาด แต่ยอดขายของกลุ่มสินค้าควบคุมที่ถือเป็นตัวสะท้อนภาพ GDP เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการคำนวณ GDP กลับปรับเพิ่มขึ้นราว 1% ในเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้ตลาดตอบรับเป็นบวก อย่างไรก็ตาม OECD เตือนว่านโยบายของทรัมป์ที่ไม่แน่นอน ทำให้ภาพรวมทางเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน และอาจทำให้เศรษฐกิจโลกอยู่ในสถานการณ์ Stagflation หรือเงินเฟ้อสูง การเติบโตต่ำได้
- 2. “Goldman Sachs ระบุการประกาศกระตุ้นเศรษฐกิจจีนมาถูกทาง แต่รายละเอียดไม่ชัดเจน” โดยเปเปอร์ของ GS ชี้ว่าการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนเมื่อวันอาทิตย์และการแถลงข่าวที่ตามมาในวันจันทร์ เริ่มมาถูกทาง โดยเน้นไปที่มาตรการกระตุ้นการบริโภคของประชาชนจีน อย่างไรก็ตามการประกาศนี้กลับไม่มีตัวเลขของขนาดปรากฎเลยในการแถลงข่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก รวมถึงไม่ได้ระบุรายละเอียดเพิ่มเติมมากไปกว่าในการประชุมสภาประชาชนจีนที่จัดขึ้นช่วงต้นเดือนมีนาคม
- 3. “จีนส่งเครื่องบินรบ 42 ลำขึ้นบินซ้อมรบเหนือเส้นแบ่งช่องแคบไต้หวัน” ทางการจีนระบุว่าการส่งเครื่องบินรบดังกล่าวเป็นการกดดันไต้หวันที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศในการแยกตัวเป็นเอกราช ด้านไต้หวันประณามการฝึกดังกล่าว ระบุว่าเป็นการลดเสถียรภาพความมั่นคงของภูมิภาคที่อ่อนไหว ทั้งนี้เจ้าหน้าที่อาวุโสของไต้หวันให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ระบุว่าไต้หวันยังคาดหวังว่าสหรัฐฯ จะให้การสนับสนุนไต้หวันต่อ
- 4. “Bloomberg เผย บริษัทเทคโนโลยียังลงทุนใน AI ต่อ ปีนี้ 3.71 แสนล้านดอลลาร์” โดยบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ ซึ่งรวมถึง Microsoft, Amazon และ Meta จะยังคงใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง สำหรับปี 2025 บริษัทเหล่านี้ลงทุนเพิ่มที่ 44% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 5.25 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2032 อย่างไรก็ตามการลงทุนจะเริ่มเปลี่ยนไปสู่การทำให้ระบบเหล่านี้ใช้งานได้ดีหลังจากการฝึกโมเดลต่างๆ แล้ว ซึ่งยังต้องใช้พลังงานและการลงทุนที่สูง แม้จะมีพัฒนาการใหม่ๆ จาก DeepSeek หรือ OpenAI แล้วก็ตาม
- 5. “RBC ปรับเป้าหมาย S&P 500 ใหม่ ลดลงเหลือ 6,200 จุด” การปรับเป้าดัชนีใหม่ครั้งนี้ RBC ให้เหตุผลว่าการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ทีม RBC ประเมินว่าปีนี้ GDP จะเหลือเพียง 1.6% จากปัจจัยความไม่แน่นอนของนโยบายทางเศรษฐกิจและการค้าคือปัจจัยสำคัญ และยังระบุเพิ่มเติมว่าในปีที่ GDP ของสหรัฐฯ เหลืออยู่ในช่วง 1.1-2.0% นั้น ตลาดหุ้นจะมีผลงานที่ไม่ค่อยดีนัก และมองว่า EPS หรือกำไรต่อหุ้นของดัชนีในปีนี้จะเหลือ 264 ดอลลาร์เท่านั้นตอนสิ้นปี รวมถึงมองว่าในกรณีที่แย่ที่สุดดัชนีอาจเหลือ 5,550 จุดตอนสิ้นปีนี้
|
|
ไทย
English
+0.01%
